Ticker

6/recent/ticker-posts

บทลงโทษของนายจ้าง หากไม่จ่ายค่าชดเชย

 

ท่ามกลางวิกฤตของสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งที่เกิดจากสงครามการค้า โรคระบาด หรือเหตุการณ์ภายในประเทศ ส่งผลให้นายจ้างล้วนได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจไปด้วย แต่ดูเหมือนไม่ใช่นายจ้างฝ่ายเดียวที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่รวมไปถึงลูกจ้างซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาด้วยเช่นกัน เนื่องจากนายจ้างบางรายหรือบางองค์กรที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาจได้รับผลกระทบถึงขนาดต้องลดขนาดของกิจการหรือแม้กระทั่งเลิกกิจการ ไม่ว่าทางใดก็ตาม ล้วนแต่เป็นสาเหตุซึ่งนำไปสู่การเลิกจ้างต่อลูกจ้างในที่สุด

สำหรับการเลิกจ้างของนายจ้างบางรายอาจไม่ได้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งเป็นกรณีที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่เป็นเหตุให้นายจ้างต้องเลิกจ้างลูกจ้าง ก็ไม่ได้เป็นเหตุที่จะให้นายจ้างละเว้นจากการจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมายให้กับลูกจ้างแต่อย่างใด ลูกจ้างยังคงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่คำถามคือถ้านายจ้างเลือกที่ฝ่าฝืนไม่ชำระเงินค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด กฎหมายได้กำหนดบทลงโทษอะไรบ้างเพื่อกดดันนายจ้าง?

นายจ้างหมายถึงใคร?

ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5  กำหนดให้ "นายจ้าง" หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และหมายความรวมถึง

1.    ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนนายจ้าง
2. ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล และผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลให้ทำการแทนด้วย

จากตัวบทกฎหมายข้างต้น จึงหมายความว่า ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล ก็ให้หมายถึงบุคคลผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นด้วยเช่นกัน

บทลงโทษนายจ้างในทางแพ่ง

ในทางแพ่งนั้นหมายถึงการลงโทษในเชิงที่เป็นการเยียวยารักษา เรื่องค่าชดเชย หรือค่าเสียหาย เมื่อนายจ้างค้างชำระค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด บทลงโทษของนายจ้างในทางแพ่งจึงมาในรูปแบบของดอกเบี้ย โดยบทลงโทษทางแพ่งนั้น ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ซึ่งกำหนดให้นายจ้างต้องชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี

นอกจากนี้กฎหมายยังกำหนดให้นายจ้างชำระดอกเบี้ยเพิ่มเติมในกรณีที่นายจ้างไม่ชำระค่าชดเชยให้กับนายจ้างเมื่อพ้นระยะเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ถึงกำหนดต้องชำระค่าชดเชยดังกล่าว ไปทุกระยะ 7 วัน จนกว่าจะชำระครบถ้วนต่อลูกจ้าง

บทลงโทษนายจ้างในทางอาญา

หากมีเพียงบทลงโทษเพียงทางแพ่ง ก็อาจไม่ทำให้นายจ้างรู้สึกกระตือรือร้นมากนัก เพื่อเป็นการกดดันนายจ้าง กฎหมายจึงได้มีการกำหนดโทษทางอาญาขึ้นมาด้วย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 144 ซึ่งกฎหมายได้กำหนดอัตราโทษไว้ คือโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน และโทษปรับสูงสุดที่ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในส่วนที่โทษทางอาญาจะมีผลต่อนายจ้างเมื่อไร อย่างไรนั้น ได้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 141 โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ได้แก่

1. กรณีที่ลูกจ้างใช้สิทธิร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงาน

ในกรณีนี้ โทษทางอาญาของนายจ้าง จะเริ่มขึ้นเมื่อพนักงานตรวจแรงงานได้ออกคำสั่งต่อนายจ้างให้ชำระค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 139 หากนายจ้างไม่เห็นด้วย นายจ้างจะต้องอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำสั่งนั้น หากนายจ้างไม่อุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กำหนดดังกล่าว ทางพนักงานตรวจแรงงานจะประสานงานกับทางพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีอาญากับนายจ้างต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่นายจ้างได้อุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หากมีการวางหลักประกันหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นจากอธิบดี โทษทางอาญาจะเริ่มขึ้นเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในคำวินิจฉัยของอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

2. กรณีที่ลูกจ้างฟ้องเป็นคดีแรงงานต่อศาลแรงงาน

ในกรณีนี้ศาลแรงงานนั้น มีอำนาจเพียงแค่พิจารณาคดีแรงงาน ซึ่งเป็นคดีในส่วนแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงคดีอาญา ภายหลังที่ศาลแรงงานมีคำพิพากษาแล้ว ลูกจ้างอาจดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือฟ้องคดีอาญาต่อศาลยุติธรรม เพื่อดำเนินคดีอาญาต่อนายจ้างได้ต่อไป

เขียนและเรียบเรียงโดย รักพล สังษิณาวัตร 
(ทนายความรักพล)
Email: rukphons@gmail.com
Tel: 095-390-8245



แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น